1065 จำนวนผู้เข้าชม |
เทคนิคในการผสมผสานชา
การผสมชา หมายถึง กระบวนการนำชาที่มีรูปทรงและคุณภาพที่แตกต่างกัน แต่ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานบางอย่างที่คล้ายกันมาผสมกัน แล้วค่อยนำไปผลิต วิธีนี้เป็นการปรับปรุงคุณภาพและความสม่ำเสมอของคุณภาพใบชา เพื่อหลีกเลี่ยงความด้อยคุณภาพ และเพื่อความสวยงามของรูปร่างชา นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีสันของชาให้สม่ำเสมอเพิ่มกลิ่นหอม หรือเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติ
ทฤษฎีและหลักการสำคัญของการผสมชาผู่เอ๋อร์
1. ทฤษฎี“ความเข้ากันได้”ในสมัยโบราณและในสมัยราชวงศ์ชิง ชาผู่เอ๋อร์มีความเกี่ยวพันธ์กับแพทย์แผนจีนอย่างมาก ด้วยเหตุที่ทฤษฎีการแพทย์จีนในสมัยโบราณมีคำพูดที่ใช้กันทั่วไปว่า “อาหารและยามีที่มาจากที่เดียวกัน” ดังนั้นการดื่มชาผู่เอ๋อร์นอกจากเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังมีสรรพคุณอื่นด้วย เช่น ลดไขมัน แก้สร่างเมา เป็นต้น ถือเป็นเครื่องดื่มพิเศษเพื่อสุขภาพ และจากบันทึกในราชวงศ์ชิง “เปิ่น เฉ่ากังมู่สืออี๋” ของจ้าว เสว่ หมิ่น นักปรุงยาชื่อดังได้บันทึกไว้ว่า “ชาผู่เออร์เป็นยาสมุนไพรจีนประเภทหนึ่ง”
2. จากประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิดของชาผู่เอ๋อร์ เริ่มจากเป็นศูนย์กระจายสินค้าชา เพื่อให้การผสมชามีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของชา
ในประวัติศาสตร์เมื่อชาผู่เออร์ถูกความร้อน ใบชาจะเกิดปฏิกิริยาและกลายเป็นชาที่คลาสิกการค้นพบชาดังกล่าวมาพร้อมกับศูนย์กระจายสินค้าชานั่นเอง
3. การผสมชาผู่เอ๋อร์มุ่งเน้นเพื่อ“ประโยชน์ที่เกื้อกูล” ระหว่างใบชาที่มีชนิดและคุณภาพต่างกัน และเทือกเขาปลูกชาที่ต่างกัน ย่อมให้ใบชาสดที่แตกต่างกันด้วยดังนั้นรสชาติของชาก็ย่อมแตกต่างกัน ความแตกต่างนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางปริมาณของสารที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม แต่ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสารภายในของชาด้วย
ความแตกต่างที่พบทำให้เกิดประสิทธิภาพ และความเหมาะสมใน “การปรับโครงสร้าง” และ “บูรณาการ” ของสารที่มีอยู่ในชาซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ชาผู่เอ๋อร์มีคุณภาพที่ดีขึ้น ถือเป็นเสน่ห์ที่คนรักการดื่มชาผู่เอ๋อร์ ใฝ่ฝันมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
4. ส่วนผสมของชาผู่เอ๋อร์ เกิดจากการบ่มเพาะตามธรรมชาติของชาจากนั้นนำมาผ่านขั้นตอนกระบวนการหมักของแข็ง จึงจำเป็นต้องมีการผลิตเป็นรูปทรง โดยชาแผ่นหลังการหมักบ่มจะต้องควบคุมปริมาตรความหนาแน่นของการบีบอัดชาแผ่น และต้องไม่อัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป จึงเป็นเรื่องยากในการทำชาแผ่นให้ได้มาตรฐาน แม้จะใช้แม่พิมพ์เครื่องอัดต่างๆ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะในใบชาเต็มไปด้วยใยไฟเบอร์ที่มีความยืดหยุ่น เวลาบีบอัดต้องใช้แรงอัดมาก แต่เมื่อผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก็คืนรูปร่างเดิม ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือ แบ่งระดับวัตถุดิบในการผสม เช่น ใช้ชาระดับเจ็ดทำ “โครงสร้างกระดูก” ใช้ชาระดับสามและระดับห้า ทำ“ส่วนเสริม” ด้วยวิธีโครงสร้างโครงกระดูกนี้จะทำให้ชาผู่เอ๋อร์ เกิดเลเย่อร์ขึ้น ทำให้หลังการหมักบ่มแล้วชาจะมีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงบ่มเพาะด้วยตัวมันเอง
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับระดับลำดับชั้นของใบชา บางคนเข้าใจว่าเลือกใบชาสด ระดับประเภทยิ่งสูงยิ่งดี บางคนถึงขั้นแสวงหายอดต้นกล้าชาบริสุทธิ์ (ระดับเกรดเอ) มาทำชาแผ่น โดยลืมคิดไปว่ายอดต้นกล้าชาบริสุทธิ์มีปฏิกิริยาไวต่อแรงกด ส่งผลให้ใยไฟเบอร์ในใบชาถูกจำกัด
5. การผสมชาผู่เอ๋อร์เป็นศิลปะและมีลักษณะสีสันเฉพาะตัวสูง ต้นตำรับผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นชาเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นหลายร้อยปี หรือชาชนิดใหม่ ล้วนมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ความเข้มข้นของสีชาที่แตกต่างกัน ทำให้ความรู้สึกในการลิ้มรสลุ่มลึกยากที่จะลืม
ความรู้สึกหรือคุณภาพเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆกับ“วัตถุดิบแท้”และ “วัตถุดิบ一口料” ยิ่งไปกว่านั้นผู้ผลิตได้ใช้ภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ยาวนานในการผลิตด้วยเทคนิคการผสมอันเป็น“ผลงานยอดเยี่ยม”
เทคนิคการผสมชาต้าอี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 3 ด้านดังนี้
1.ผลิตภัณฑ์ของต้นตำรับ
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 70 ปี ของโรงงานชาเหมิงไห่ มีผลิตภัณฑ์ชาผู่เอ๋อร์ต้นตำรับรุ่น 7572, 7542 โดยสูตรต้นตำรับนี้คิดค้นและผลิตเมื่อทศวรรษ 70 และพัฒนาต่อมาในทศวรรษที่ 80 จนกลายเป็นสูตรที่สมบูรณ์ในทศวรรษที่ 90
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีบนเส้นทางธุรกิจค้าชา ได้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ชาผู่เอ๋อร์ของโรงงานเหมิงไห่ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์มาตรฐานของชาผู่เอ๋อร์” ถือเป็นสูตรต้นตำรับของผลิตภัณฑ์ที่มีความสมบูรณ์ มีเอกลักษณ์ สนองความต้องการของตลาด
2.โครงสร้างคณะบุคลากรที่แข็งแกร่ง
คัดเลือกบุคลากรระดับหัวกะทิด้านชาจำนวนมากจากทั่วประเทศ จนมีผู้จบปริญญาตรีไม่น้อยกว่า 200 คน, ปริญญาโทมากกว่า 10 คน, ผู้ที่กำลังทำวิจัยระดับปริญญาเอกและผู้จบปริญญาเอกอีก 2 คน บุคคลเหล่านี้ล้วนได้รับการถ่ายทอดเทคนิคพื้นฐานเก่าแก่ของโรงงาน และนำความสามารถที่เป็นเลิศของแต่ละบุคคลมาใช้ในการเสริมสร้างกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ชาที่เหมาะสมตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน
คณะผู้เชี่ยวชาญทางผลิตภัณฑ์ชา
ทำหน้าที่วิเคราะห์ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต จนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปโดยจะบันทึกบทวิเคราะห์ทั้งจุดเด่น– จุดด้อยที่เกี่ยวข้องกับใบชาไว้ โดยรวบรวมเป็นรายงานประจำปี, ประจำภูมิภาค และประจำฤดูกาล และนำบทวิเคราะห์ต่างๆมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยใช้หลักการ“เน้นจุดเด่น” เพื่อรวบรวมวัตถุดิบที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตชาต่อไป
ห้องทดลองเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ชั้นหนึ่ง
การก่อตั้งห้องทดลองที่มีบุคลากรผู้วิเคราะห์ ทดสอบที่เชี่ยวชาญจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอด 12 ปี ได้สร้างคณะนักค้นคว้าวิจัยระดับปริญญาโทจำนวน 6 คน และปริญญาตรีอีก 30 คน โดยคัดสรรเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
คลังวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบ
ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า “หัวล้านได้หวี” มีของดีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เฉกเช่น ผู้หญิงก้นครัวมีเสน่ห์ปลายจวัก แต่หากไร้ซึ่งวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ก็ไม่สามารถทำได้” ดังนั้นนอกจากมีสูตรผลิตภัณฑ์ มีผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ “วัตถุดิบที่สมบูรณ์” ซึ่งวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นในแต่ละช่วงระยะเวลา แต่ละภูมิภาค หรือแต่ละฤดูกาล ต่างก็มีข้อดีและจุดเด่นเฉพาะตัวที่ต่างกัน
โดยตั้งแต่ ค.ศ. 2004 จนถึงปัจจุบัน ต้าอี้ได้สร้างคลังสินค้าที่มีความจุถึงสองหมื่นตัน ที่รับประกันคุณภาพของวัตถุดิบ